โดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
ชาวไทยหรือแม้แต่นักธุรกิจชาวไทยมีภาพจำว่าอินเดียเป็นประเทศที่ยากจน และ สาธารณูปโภคไม่ดี ไม่ได้รับการพัฒนาให้เท่าเทียมกับโลกภายนอก ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอินเดียไม่มีกำลังซื้อสินค้าของบริษัทที่จะเข้าไปทำธุรกิจในอินเดีย จึงทำให้นักธุรกิจชาวไทยเสียโอกาสอย่างสูง ทั้งนี้มูลค่าการค้าระหว่างไทย และ อินเดีย มีเพียง 8 พันกว่าล้านบาทต่อปีเท่านั้น วิทยากรได้ชี้ให้เห็นว่าประชากรอินเดียกว่าพันล้านคนแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ฐานะทางเศรษฐกิจต่างกันสูงมาก ประชากรในแต่ละภูมิภาคมีเชื้อฃาติ ภาษาที่ใช้แตกต่างกันกว่า 100 เชื้อชาติและภาษา บริบททั่วไปคล้ายกับทุกประเทศคือมีทั้งยากจน ปานกลาง และร่ำรวย ประการสำคัญกลุ่มที่มีฐานะปานกลางในปัจจุบันมีความต้องการบริโภคสินค้าที่มีการนำเข้า หรือผลิตโดยบริษัทต่างชาติที่เข้ามาตั้งโรงงานในอินเดียเป็นอย่างมาก ส่วนประชากรที่มีฐานะร่ำรวยนั้นมีจำนวนมากพอสมควร และ มีทรัพย์สินมากกว่ามหาเศรษฐีในประเทศไทยด้วยซ้ำ
โดยโอกาสทางเศรษฐกิจของไทยที่มีความต้องการจากชาวอินเดียมีสูงมาก เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวชาวอินเดียนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความต้องการสินค้าจากประเทศไทย เช่น เครื่องใช้ในครัวเรือน ตัวอย่างจากบริษัทศรีไทยซุปเปอร์แวร์ เข้าไปตั้งโรงงานผลิตเครื่องใช้ในครัวเรือนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียเพื่อจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์เครื่องใช้ จาน ชาม ช้อน กระปุกถนอมอาหาร โดยใช้กลยุทธ์การขายตรง สู่ผู้บริโภค พนักงานขายเป็นแม่บ้านชาวอินเดียเป็นตัวแทนขายตรง ราคาสินค้าถือเป็นราคาระดับพรีเมี่ยม ผู้บริโภคมีความต้องการสูงมาก ถึงกับว่าเป็นเครื่องใช้ที่แสดงถึงฐานะทางสังคมที่ดี และ มีไว้ต้อนรับแขกที่มาเยี่ยม จะเป็นการให้เกียรติอย่างสูงต่อผู้มาเยี่ยมอย่างสูง ในการบรรยายยังได้เชิญผู้ประกอบการไทยที่ไปดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นๆในอินเดีย และ นักวิชาการ นักวิจัย ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประเทศอินเดียมาให้มุมมองที่แตกต่างไปจากที่ชาวไทยมีภาพจำอยู่เสมอ
โอกาสด้านสินค้าเกษตร เช่น ดอกกล้วยไม้ไทย ถือเป็นดอกไม้ที่แสดงถึงฐานะความร่ำรวยของชาวอินเดีย หากจะจัดงานแต่งงาน หรือจัดงานพิธีการต่างๆต้องใช้ดอกกล้วยไม้จากประเทศไทยเท่านั้นจึงจะแสดงถึงฐานะทางสังคมชั้นสูง หากใช้ดอกไม้อื่นๆ หรือดอกกล้วยไม้จากที่อื่นถือว่าไม่ร่ำรวย เป็นต้น ผลไม้ต่างๆที่ส่งจากประเทศไทยไปยังอินเดียก็ได้รับความนิยมเช่นกัน รองอธิบดีกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้นักธุรกิจชาวไทยที่ประกอบธุรกิจน้ำผลไม้บรรจุขวด หรือ กล่องUHT เข้าไปลงทุนในอินเดียเนื่องจากอินเดียก็มีผลไม้หลากหลายเช่นไทย แต่ยังไม่มีการแปรรูปใดๆเลย ทั้งที่รสชาติดีเทียบเท่ากับผลไม้ไทย โดยส่วนมากผลไม้แปรรูปทุกชนิด รวมถึงน้ำผลไม้จะมีการนำเข้าจากทั้งประเทศไทยและนานาชาติ ท่านรองอธบดีจึงอยากเสนอให้นักธุรกิจไทยลองมองโอกาสนี้ไปตั้งโรงงานแปรรูปผลไม้เช่น โรงงานผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้ดอง และ น้ำผลไม้จะสามารถทำตลาดได้ดีเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคของอินเดียจะนิยมของขบเคี้ยวแบบคนไทย
ธุรกิจเกี่ยวกับผ้าไหม ชาวอินเดียวนิยมนำผ้าไหมจากไทยไปตัดเย็บส่าหรี และชุดในงานพิธีมงคลต่างๆ รวมถึงผ้าย้อมครามต่างๆ ในอินเดียก็มีวัฒนธรรมผ้าแบบเดียวกับคนไทยจึงถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เป็นโอกาสที่นักธุรกิจไทยควรจะศึกษาหาช่องทางเข้าไปลงทุนในอินเดีย ซึ่งนักออกแบบไทยสามารถออกแบบลวดลายให้ตรงกับความต้องการของผู้บรโภคชาวอินเดียได้อย่างดีอยู่แล้ว
ธุรกิจยาและเคมีภัณฑ์ในอินเดีย ถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งมาก โดยอินเดียมีโรงงานยาที่ได้มาตรฐานโลกอยู่จำนวนมาก และ มีต้นทุนในการผลิตถูกมาก ในปัจจุบันบริษัทยาชั้นนำของโลกจากยุโรป และ อเมริกาเข้ามาตั้งโรงงานผลิตยาเพื่อส่งขายใน ยุโรป อเมริกา และทั่วโลกจำนวนมาก ยาที่ผลิตจากอินเดียมีคุณภาพสูงเทียบเท่าหรือสูงกว่าโลกตะวันตกเลยทีเดียว
อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ และ software จากอินเดียก็ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพสูงที่สุดในโลก และมีต้นทุนในการผลิตต่ำมาก
ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ ผู้บรรยาย ให้ข้อคิดว่าเราควรจะมองอินเดียใหม่ เพราะอินเดียไม่ใช่แหล่งงผลิตของดีราคาถูกแต่เพียงอย่างเดียวเช่นในอดีตอีกแล้ว หากแต่กำลังซื้อและ ความต้องการบริโภคสินค้าคุณภาพดีจากทั่วโลกยังมีอีกสูงจากผู้บริโภคในอินเดีย ผู้บรรยายให้แนวคิดว่าหากเราสามาถเข้าถึงผู้บริโภคเพียง 20%ของผู้บริโภคทั้งหมดในอินเดีย ยอดขาย/รายได้จะสูงกว่าที่เราทำธุรกิจในประเทศไทยด้วยซ้ำ จึงอยากจะให้ชาวไทยเรา “มองอินเดียใหม่ แล้วเราจะพบกับความท้าทายและโอกาสที่คาดไม่ถึง” เลยทีเดียว
บันทึกโดย สุมาลี เงยวิจิตร