สิงห์ ในตำนานเส้นทางการสร้างแบรนด์

สิงห์ ในตำนานเส้นทางการสร้างแบรนด์

คมสันต์ แสงทอง

กรณีศึกษาของบริษัทบุญรอด บริวเวอร์รี่ จำกัด น่าสนใจ เนื่องจากเป็นบริษัทที่เคยร่วงไปสู่ตำแหน่งที่ตกต่ำสุดๆ …. แล้วบริษัทกลับมาได้อย่างไร มีการกู้สถานะบริษัทกลับมาได้อย่างไร

บริษัทบุญรอด เอเชีย (บุญรอด บริวเวอร์รี่) จำกัด เป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าอาหารและเครื่องดื่มในตลาดโลก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2476  (คศ.1933) ภายใต้ชื่อบริษัทบุญรอด บริวเวอร์รี่ จำกัด ตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเบียร์ โดยมีขวดเบียร์สีเขียว ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเนื่องจากสีน้ำตาลเป็นสีที่เก็บเบียร์ได้ดีที่สุด มีสัญลักษณ์สินค้า (LoGo) เป็นหนุมานคาบศร และมีตราสินค้า (Brand) เป็นรูปสิงห์หรือตราสิงห์ จึงมีการเรียกติดปากว่า “เบียร์สิงห์”

บรรจุภัณฑ์ (Packaging) ของตราสิงห์ มีการเปลี่ยนตลอดเวลา จากเดิมที่เป็นขวดกลมสีน้ำตาล ก็เปลี่ยนเป็นมีฟอยด์หุ้ม ในระยะต่อมาก็เปลี่ยนรูปร่างขวดเป็นคอยาว และล่าสุดในปีนี้เปลี่ยนเป็นมีลายนูนบนขวด

การแข่งขันของเบียร์สิงห์ ในอดีตเบียร์สิงห์เป็นสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทเบียร์ ที่ขายดีที่สุดในตลาดเมืองไทย เป็นผู้นำอันดับหนึ่งมาตลอด ขายดีจนผลิตไม่ทันขาย ขายดีจนไม่ต้องมีการวางแผนการตลาดเพื่อต่อสู้กับคู่แข่ง ผลิตเท่าไหร่ก็ขายหมดและผลิตไม่ทันขาย ส่วนแบ่งการตลาดของเบียร์สิงห์ในช่วงที่เป็นผู้นำในอดีตประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ ยอดขายของเบียร์สิงห์กับคู่แข่งสูสีตีคู่กันมาตลอด มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 เกิดวิกฤติการณ์ทางการเงินในประเทศไทย เป็นปัจจัยเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้เบียร์สิงห์ต้องมีผลการดำเนินงานตกต่ำลง จากส่วนแบ่งการตลาด 85 เปอร์เซ็นต์ ร่วงตกลงมาเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ และขาดทุนมาก จนกระทั่งปี พ.ศ. 2551 จึงกลับมาได้ นับเป็น 10 ปีแห่งความทุกข์ทรมาน

ในช่วงสองปีแรกนับจากภาวะวิกฤติ เบียร์สิงห์มีส่วนแบ่งการตลาดจาก 85 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ. 2540 ตกลงมาเป็น 45 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ. 2541 และตกลงมาเป็น   15 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ. 2542 คุณคมสันต์ แสงทอง ได้เข้ามาทำงานในบริษัทบุญรอด บริวเวอร์รี่ จำกัด ในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่ยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดกำลังจะตกต่ำสุดขีด (15 เปอร์เซ็นต์) ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 ส่วนแบ่งการตลาดได้กระเตื้องขึ้นมาเป็น 25 เปอร์เซ็นต์

บริษัทคู่แข่งได้มีการใช้กลยุทธ์การขายที่เรียกว่า “กลยุทธ์เหล้าพ่วงเบียร์” ในขณะนั้น ราคาเบียร์ในตลาดปรกติโหลละ 500 บาท เบียร์ช้างลดราเหลือราคาโหลละ 400 บาท ส่วนเบียร์สิงห์ลดราคาเหลือราคาโหลละ 360 บาท

ต่อมาบริษัทคู่แข่งลดราคาเหลือโหลละ 280 บาทการที่จะลดราคาให้ได้ราคาโหลละ 280 บาท ก็คือ ต้องลดราคาลงอีกดังนั้น จึงต้องเอาเงินส่วนอื่นมาลดราคา เงินส่วนนั้นก็คือ เงินส่วนของเหล้า บริษัทคู่แข่งได้เปรียบเพราะมีผลิตภัณฑ์เหล้าด้วย ต้นทุนเหล้าขวดละ 70 บาท ราคาขายขวดละ 110 บาท ได้กำไร 40 บาทต่อขวด และได้กำไร 480 บาทต่อโหล ซึ่งซื้อเบียร์ได้เกือบโหล

กลยุทธ์ของบริษัทคู่แข่งคือ ขายเหล้า 1 ขวด เบียร์ 5 ขวด ดังนั้น การจะซื้อเหล้าได้ จะต้องซื้อเบียร์ไปด้วย ลูกค้าไม่ต้องการเบียร์ แต่เค้าต้องการเหล้า เหล้าขาวเป็นธุรกิจผูกขาด (Monopoly) กลไกคือ ร้านจำหน่ายเครื่องดื่มและแอลกอฮอล์เป็นผู้รับภาระบวกราคาเหล้าที่ผู้บริโภคซื้อไป

ในช่วงนั้น เบียร์คาร์ลสเบิร์ก ของประเทศเดนมาร์ก ได้มาเปิดโรงงานในประเทศไทย ต่อมาผ่านไป 1 ปี บริษัทเบียร์คาร์ลสเบิร์กน้ำตาร่วงเลย ขาดทุนย่อยยับ เบียร์ของเค้ามูลค่าประมาณว่า 5-6 ขวดต่อ 100 บาท ท้ายที่สุดก็ต้องปิดตัวไป บริษัทบุญรอด จำกัด จึงได้ซื้อกิจการของคาร์ลสเบิร์กและลดต้นทุนไปได้มาก โดยการผลิตก็ไม่ต้องใช้ฝาขวดคาร์ลสเบิร์ก เพียงแค่ใส่ฝาขวดเบียร์สิงห์ทับลงไปแทน ไม่ต้องลงทุนอุปกรณ์เลย ลดต้นทุนไปได้มาก

อย่างไรก็ตาม เบียร์สิงห์ก็แพ้ “กลยุทธ์เหล้าพ่วงเบียร์” ของคู่แข่ง ณ ขณะนั้นราคาตลาดอยู่ที่โหลละ 500 บาท เบียร์ช้างขายโหลละ 280 บาท เบียร์สิงห์ขายโหลละ 500 บาท หากเบียร์สิงห์จะขายราคา โหลละ 280 บาทเท่าคู่แข่ง เบียร์สิงห์ขาดทุนย่อยยับแน่ๆ เนื่องจากภาษี 300 กว่าบาทต่อโหล บริษัทเบียร์สิงห์จึงต้องเตือนตัวเองเรื่อง “มรณังนุสติ”

เบียร์สิงห์จึงต้องต่อสู้ครั้งใหญ่ โดยต้องปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ พยายามที่จะสร้างมูลค่าหุ้นให้สูงเหมือนเมื่อก่อนที่มีส่วนแบ่งการตลาด 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป โดยได้แจ้งตัวแทนจำหน่าย (Agent) เบียร์สิงห์ว่า ในรถของตัวแทนจำหน่ายเบียร์สิงห์ไม่ควรมีเบียร์ช้างด้วย นอกจากนี้เบียร์สิงห์ได้มีการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อกู้เงินธนาคาร ในปี พ.ศ. 2540 เบียร์สิงห์ได้ดำเนินงานด้านการตลาด ด้วยการผลิตเบียร์ตำรามาตรฐาน (Fighting Brand) ที่เรียกว่า “เบียร์ผู้ว่า” ออกมาสู่ตลาด แต่ที่ไม่มาตรฐานคือ บริษัทเบียร์สิงห์ใช้เวลาถึง 2 ปี ในการออกสินค้า Fighting Brand ตัวนี้

ส่วนการต่อสู้ในด้านกฎหมาย บริษัทเบียร์สิงห์ได้ฟ้องร้องขอความเป็นธรรม เรื่องการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่ง “กลยุทธ์เหล้าพ่วงเบียร์” โดยฟ้องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 และรอมา 21 ปี บริษัทเพิ่งได้รับคำตอบในปี พ.ศ. 2560 ว่า ไม่เข้าข่าย ถ้าหากบริษัทเบียร์สิงห์รอความเป็นธรรม ณ ปัจจุบัน คงไม่มีชื่อบริษัทของเบียร์สิงห์แล้ว

ในปี พ.ศ. 2542 เบียร์คู่แข่งได้รางวัลเหรียญทองจากการไปออกงานเกษตรแฟร์ บริษัทเบียร์สิงห์จึงได้เอารางวัลของเบียร์สิงห์ที่ได้จากประเทศเยอรมัน ซึ่งเดิมมีอยู่แล้ว มาทำประชาสัมพันธ์ (Promotion) ด้วย ให้คนได้รับรู้ว่า เบียร์สิงห์ได้รางวัลระดับโลก นอกจากนี้  เบียร์สิงห์ได้มีการเปลี่ยนแนวคิดการส่งเสริมการตลาดที่จะเน้นกลุ่มผู้บริโภคที่ใหม่ สด กว่าเดิม จึงมีการเปลี่ยนนายแบบโฆษณา (Presenter) เป็นคุณคุณากรหรือคุณดู๋ พิธีกรชื่อดัง

ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 คุณคมสันต์ แสงทอง ได้เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการขาย ได้มีการพัฒนากลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลยุทธ์การใช้ทีมขาย (Sales) จากเดิมตลอดเวลา 70 ปี ที่ผ่านมา บริษัทเบียร์สิงห์ไม่เคยมีพนักงานขาย (Sales) เบียร์ไม่เคยพอขาด มีแต่ขาดตลาด ผลิตออกมาเท่าไหร่ก็ขายหมด มีรถของตัวแทนจำหน่าย (Agents) จอดรอตลอด เบียร์สิงห์ไม่เคยมีสต็อก ไม่เคยมีคลังสินค้า โดยเฉพาะช่วงเทศกาล เบียร์ขายตลอด

ในปี พ.ศ. 2543 ที่เบียร์สิงห์เริ่มมีทีมขาย ริเริ่มโดยคุณคมสันต์ แสงทอง ในขณะนั้น เดิมบริษัทบุญรอดบริวเวอร์รี่ไม่มีโครงสร้างองค์กรและไม่มีอะไรรองรับเลย เป็นธุรกิจครอบครัว (Family Business) บรรยากาศในการทำงานเป็นลักษณะในเวลาเช้า คนมาทำงาน และเวลาเย็นก็กลับประมาณ 4 โมงเย็น มีกลับก่อนเวลาได้ด้วย บรรยากาศมีความสุขในการทำงาน

ดังนั้น คุณคมสันต์ แสงทอง ผู้จัดการขาย ได้สร้างทีมขาย และได้ขอข้อมูลลูกค้า และได้รับเอกสารข้อมูลมาหนึ่งปึกเป็นข้อมูลรายชื่อลูกค้ากว่า 70 กว่าปี ข้อมูลดังกล่าวยังไม่ทำให้เป็นปัจจุบัน (Update) เนื่องจากเดิมบริษัทขายดีมาก ไม่สนใจ update ข้อมูล

ในการสร้างทีมขาย คุณแสงทองได้มีการคัดเลือกผู้สมัครงานเพื่อสร้างทีมขาย และกำหนดค่าตอบแทน (commission) ให้ ทีมขายทีมแรกมี 8 คน มีการอบรมทีมขายเป็นพิเศษ โดยอบรมฝึกทักษะการขาย และการสร้างวัฒนธรรมร่วมกัน คือ แม้จะมีการเผชิญ “ความลำบาก” เราจะมีจิตวิญญาณร่วมกัน

เดิมเบียร์สิงห์มีการขายสินค้าให้ตัวแทนจำหน่าย (Agents) แต่ยอดขายลดลงมากจากเดิมส่วนแบ่งการตลาด 85 เปอร์เซ็นต์เหลือ 25 เปอร์เซ็นต์ในขณะนั้น ซึ่งยอดขายดังกล่าวไม่พอหล่อเลี้ยง Agents คุณแสงทองจึงได้ทำการลดจำนวน Agents 190 รายในปี พ.ศ. 2546 นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคเกี่ยวกับภาครัฐห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาที่กำหนด ซึ่งข้อกำหนดจากรัฐบาลเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้

ในปี พ.ศ. 2546 บริษัทบุญรอดบริวเวอร์รี่ ครบกำหนด 70 ปี ในตลาดเบียร์ขณะนั้น เบียร์ช้างขายถูก เบียร์สิงห์ขายแพงกว่า เบียร์สิงห์จึงได้ใช้กลยุทธ์การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นเบียร์สิงห์แดง คือ “สิงห์ 70 Local” เพื่อให้ยื่นภาษีเท่ากับเบียร์ช้าง แต่ขายได้ 7 วัน กรมสรรพสามิตแจ้งให้ยื่นภาษีเท่ากับเบียร์สิงห์ เพราะว่ากรมสรรพสามิตมีการจัดเก็บภาษีตามตราสินค้า ดังนั้น จึงขายได้น้อย ปีนั้นส่วนแบ่งการตลาดเหลือ 25 เปอร์เซ็นต์ และขายได้ไม่ถึงปี CEO ออกมาพูด “ยอมรับว่า แพ้”

ต่อมา บริษัทบุญรอดบริวเวอร์รี่ได้ใช้ข้อมูลวิจัย จากเดิมเคยคิดว่า บริษัทบุญรอดบริวเวอร์รี่เป็นศูนย์กลางจักรวาล ก็เปลี่ยนมาเริ่มใช้ข้อมูลวิจัย เพื่อพิจารณาดูว่าบริษัททำอะไรผิดพลาด บริษัทยังไม่ได้ทำอะไร ที่ควรจะทำ หลังจากนั้น บริษัทเริ่มใช้กลยุทธ์การตลาดแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อน เช่น การชิงโชค การโฆษณา ซึ่งการใช้นายแบบโฆษณา (Presenters) กฎหมายห้ามใช้ Presenter อายุต่ำกว่า 35 ปี นายแบบโฆษณาคือ คุณดู๋ คุณเคน และนางแบบคือ คุณเมทินี “ลูกเกด” คุณเมทินีเป็นนางแบบในแคมเปญ Sexy Marketing ปฏิทินลีโอ เป็นปฏิทินยอดฮิต

ข้อมูลวิจัยเปิดเผยข้อมูลสำคัญประการหนึ่งคือ ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในตลาดเบียร์ คือ ผู้ค้าส่งเบียร์ (ซาปั๊ว) ซึ่งบริษัทบุญรอดบริวเวอร์รี่ไม่เคยเข้าหาผู้ค้าส่งเลย ดังนั้น คุณคมสันต์ จึงจัดให้บริษัทได้เข้าหาผู้ค้าส่ง เช่น การจัดงานสานสัมพันธ์ผู้บริหารบริษัทกับผู้ค้าส่งทั่วประเทศ เริ่มแรกที่จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งเป็นจังหวัดที่ตั้งของโรงงานผลิตเบียร์ช้าง

บริษัทบุญรอดบริวเวอร์รี่ยังได้มีการส่งจดหมายและโทรสาร แจ้งรายการส่งเสริมการขาย โดยเป็นการส่งข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อมาก็พัฒนาตามเทคโนโลยีเป็นการส่งด้วยจดหมายอิเลคทรอนิคส์ (email) แทน และมีการส่งตัวแทนขาย (Sales) ไปซ้ำอีกทุก 6 เดือน

กลยุทธ์การตลาดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การสร้าง “สิงห์พลังใหม่ (Young Blood Singha)” เป็นนักธุรกิจรุ่นลูก เลือดเนื้อเชื้อไขของผู้ประกอบการ เช่น วิศวะจุฬาฯ วิศวะบางมด ส่งเสริมให้กลุ่มสิงห์พลังใหม่ขายเบียร์

การประชุมตัวแทนประจำปี โดยมีการจัดงาน ประชุมตัวแทนประจำปี เริ่มที่เชียงราย เทคนิคในการประชุม คือ คำกล่าวที่ว่า “ศักดิ์ศรีสำคัญกว่าเงิน” มีการจัดห้องประชุมให้ผู้ที่นั่งหน้า คือ คนที่มีส่วนแบ่งการตลาดต่ำสุด ซึ่งจะเป็นกลุ่มคนที่นั่งติดกับผู้บริหารของบริษัท อันนี้เพื่อเทคนิคการสร้างความกดดันเล็กน้อยให้กับผู้ที่มีส่วนแบ่งการตลาดต่ำ ส่วนปีต่อมา พ.ศ. 2548 จัดที่จังหวัดภูเก็ต คนที่มีส่วนแบ่งการตลาดต่ำในปีที่แล้ว จะพยายามสร้างยอดขายเพื่อจะได้ไม่ต้องแถวหน้าซึ่งใกล้กับผู้บริหารบริษัท

ในการประชุมในปี พ.ศ. 2548 เป็นปีที่น่าจดจำ เนื่องจากปลายปี พ.ศ. 2547 เกิดเหตุการณ์สึนามิ หลายๆ คนในบริษัทบอกว่า จะยืนยันจัดงานดีหรือ เพราะเกิดเหตุสึนามิ แต่ในที่สุดผู้บริหารบริษัท (CEO) ก็ยืนยันจัดงานไป เนื่องจากค่าจัดงาน ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม และค่าใช้จ่ายๆ ต่างๆ ได้มีการจ่ายล่วงหน้าไปหมดแล้ว และจัดงานในแนวทางเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภูเก็ต โดยมีการกระจายคนไปรับประทานอาหารหลายๆ ร้านในภูเก็ต เนื่องจากช่วงนั้น ไม่มีคนไปเที่ยวภูเก็ตเลย จึงนับได้ว่า เป็นเรื่องดีที่บริษัทเบียร์สิงห์ได้มีส่วนไปช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจภูเก็ตในขณะนั้นบ้าง บริษัทเบียร์สิงห์ได้มีการจัดงานสานสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ให้เป็นงานขอบคุณ และเป็นงานของครอบครัวเดียวกัน “We are family” ในปี พ.ศ. 2548-2529 ยอดขายก็ดีขึ้น

การต่อสู้ด้านการตลาดอีกเรื่องหนึ่ง การฝากเบียร์สิงห์ในตู้ร้านค้าปลีก โดยเบียร์สิงห์ขอให้มีเบียร์สิงห์ติดตู้แช่ร้านค้าปลีกและให้เงินร้านค้าปลีกเดือนละ 2,000 บาท นับว่า เบียร์สิงห์ให้ผลประโยชน์ทันทีและงานนี้ เสมือนบริษัทเบียร์สิงห์มีตู้แช่เอง นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการตลาดที่เป็นกิจกรรมตรงสู่ผู้บริโภค เช่น มีส่วนร่วมในกิจกรรมงานบวช งานเลี้ยงรุ่น งานศพ เป็นต้น

ผลจากการทำแผนการตลาดและการดำเนินงานการตลาด ในปี พ.ศ. 2548 เริ่มผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มจาก 25 เปอร์เซ็นต์ 30 เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. 2549 บริษัทบุญรอดบริวเวอร์รี่ประกาศจะขายให้ได้ส่วนแบ่งการตลาด 47 เปอร์เซ็นต์ และจะกลับมาเป็นที่ 1 อีกครั้ง และบริษัทก็ได้ประกาศชัยชนะจริงๆ ในช่วงท้ายปี พ.ศ. 2549

จุดพลิกผันของบริษัทคือ การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ เนื่องจากกฎหมายไทยไม่อนุญาตให้ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น บริษัทบุญรอดบริวเวอร์รี่จึงเข้าตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสิงคโปร์

การแข่งขันปัจจุบัน เบียร์ช้างขายตลาดล่างอย่างเดียว แต่บริษัทบุญรอดบริวเวอร์รี่ขายตลาดเดิมคือตลาดบน (เบียร์สิงห์) และสวนกลับตลาดด้วยโดยการขายตลาดกลางด้วย (เบียร์ Leo) นอกจากนี้ บริษัทบุญรอดบริวเวอร์รี่ได้มีการเปลี่ยนทีมบริหารยุคคุณพ่อเป็นทีมใหม่คือ รุ่นลูก บริษัทในยุคใหม่มีความพร้อมทั้งคน เครื่องมือ องค์กร และการตัดสินใจ การจัดการสมัยใหม่ ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดในปี พ.ศ. 2551 เพิ่มเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ และในปี พ.ศ. 2558 เพิ่มเป็น 73 เปอร์เซ็นต์ และจากที่บริษัทไม่เคยทำการตลาดในอดีต บริษัทมีการใช้งบการตลาดหมื่นกว่าล้านบาท

ในปี พ.ศ. 2559 เบียร์ช้างได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยการเปลี่ยนขวดจากสีน้ำตาล (ซึ่งเก็บสภาพเบียร์ได้ดีกว่าสีอื่น) เป็นขวดสีเขียว ซึ่งการเปลี่ยนสีขวดเบียร์นี้ เป็นความเสี่ยง ถ้าไม่ดีก็ตายเลย แต่ถ้าสำเร็จก็ดีไป ในกรณีนี้ เบียร์ช้างประสบผลสำเร็จ โดยเกิดเหตุ “โดมรินเบียร์ช้าง” ทำให้ยอดขายเบียร์ช้างพุ่งกระฉูด และทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของเบียร์สิงห์ลดลงจาก 73 เปอร์เซ็นต์ เป็น 59 เปอร์เซ็นต์ แต่บริษัทบุญรอดใช้เวลาไม่ถึงปีก็กลับมาเป็นผู้นำได้เหมือนเดิม ต่อมาบริษัทบุญรอด บริวเวอร์รี่ จำกัด ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทบุญรอด เอเชีย จำกัด เป็นบริษัทระดับโลกที่ผลิตสินค้าอาหารและเครื่องดื่มจำหน่ายในตลาดโลก

Categories: อบรม-สัมมนา | Leave a comment

กลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปกับกำไรที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ

กลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปกับกำไรที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ

จักรกฤษณ์ ธนวิรุฬห์

สิ่งที่ทำให้การทำธุรกิจประสบผลสำเร็จในปัจจุบัน

สิ่งสำคัญที่ทำให้การทำธุรกิจประสบผลสำเร็จในปัจจุบัน ได้แก่ การมีความรู้ความเข้าใจโลกตามความเป็นจริง การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการธุรกิจ การมีวิสัยทัศน์ และการมีความคิดอย่างเป็นระบบ การลงมือทำงานอย่างมุ่งมั่น รวมทั้งต้องมีใจรักในธุรกิจที่ทำ บางครั้งสิ่งที่เราถนัดอาจไม่ใช่สิ่งที่เรารักก็ได้ มีแง่คิดว่า ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันสามารถทำในเชิงธุรกิจได้ ดังนั้น เรารักที่จะทำอะไร ควรเอาเรื่องนั้นมาเป็นธุรกิจได้ทั้งหมด สิ่งสำคัญประการสุดท้าย คือ ควรเลือกรูปแบบการทำธุรกิจที่เหมาะสมกับสภาพยุคสมัย เช่น ปัจจุบันในยุคดิจิตอล ควรให้ความสนใจในการทำธุรกิจออนไลน์ เนื่องจากเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้นของแวดวงธุรกิจทั่วโลก

ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการธุรกิจ

ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการธุรกิจ ประกอบด้วย การจัดการด้านการตลาดและการขาย การจัดการด้านกระบวนการทำงานภายใน การจัดการด้านบัญชีและการเงิน การจัดการด้านทรัพยากรบุคคล

การพัฒนาตนเองของเจ้าของธุรกิจ

เจ้าของธุรกิจควรมีการพัฒนาตนเอง โดยควรสำรวจชีวิตตัวเองในช่วงที่ผ่านมา มีวิสัยทัศน์แห่งชีวิต  (มีความฝันและมีความหวัง) สร้างทัศนคติที่ดีหรือความคิดเชิงบวกในทุกๆ เรื่อง มีความคิดสร้างสรรค์ คิดแตกต่างแต่ประยุกต์ใช้ได้จริง ลงมือทำทันทีในสิ่งที่คิดได้ และทำอย่างมุ่งมั่นต่อเนื่อง เรียนรู้ให้รอบรู้ในทุกเรื่องที่จำเป็นต้องรู้อย่างต่อเนื่อง ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ปัจจุบันในทุกๆ ด้าน เดินทางพบคู่ค้า ติดตามสถานการณ์ทางการตลาดอย่างใกล้ชิด ศึกษาดูงานแสดงสินค้าต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา สนุกและมีความสุขจากการทำสิ่งที่เรารักในทุกวัน

 

Categories: อบรม-สัมมนา | Leave a comment

อบรมเชิงปฏิบัติการ Creativity & Innovation

อบรมเชิงปฏิบัติการ Creativity & Innovation

ดร.นารา กิตติเมธีกุล

ขั้นตอนของการคิดสร้างสรรค์ (Process of Creativity)

  1. Set the goal or problem
  2. Collect all resources
  3. Link them together
  4. Add new ideas

Trust the Process

Pause    หยุดคิด มีสติ

Focus    มุ่งมั่น ชัดเจน

Expand ขยายมุมมอง

Doing    ลงมือทำอย่างตั้งใจ

Business Model Generation

เทคนิค 4 ขั้นตอนการพัฒนา Business Model

การพัฒนา Business Model มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่หนึ่ง การเขียนโมเดล ขั้นที่สอง การทบทวน ปรับเปลี่ยน ขั้นที่สาม การแก้ไข และขั้นที่สี่ การลงมือปฏิบัติ โดยในการเขียนโมเดลนั้น จะเริ่มจากการศึกษาและทำความเข้าใจธุรกิจและปัญหาของธุรกิจ หลังจากนั้นก็สร้างแบบจำลองธุรกิจ และนำโมเดลไปใช้ โดยในช่วงศึกษาธุรกิจและสร้างแบบจำลอง จะยังมีความสับสนอยู่บ้าง และจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการนำโมเดลไปใช้จริง

การออกแบบโมเดล มีรายละเอียดการออกแบบเป็น 5 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การเตรียมการ ซึ่งได้แก่ การรวบรวมข้อมูลและจัดตั้งทีมงาน (2) การทำความเข้าใจ โดยการศึกษาและวิเคราะห์ธุรกิจ ไอเดียและทางเลือกต่างๆ (3) การออกแบบ ได้แก่ การสร้างแบบจำลอง (4) การใช้จริง โดยต้องมีการพูดคุยสื่อสารและการบริหารงานที่ดี (5) การเฝ้าสังเกต โดยการสังเกตทิศทางธุรกิจ ทบทวนการใช้โมเดล คอยปรับปรุงโมเดลให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ธุรกิจให้ทันท่วงที

 

Categories: อบรม-สัมมนา | Leave a comment

โครงการส่งเสริมการเข้าสู่ตำแหน่งวิชาการ

โครงการส่งเสริมการเข้าสู่ตำแหน่งวิชาการ

รศ.ดร. กิ่งพร ทองใบ

 ขั้นตอนการเข้าสู่ตำแหน่งวิชาการ มี 4 ขั้นตอน คือ 1. การวางแผน 2. การปฏิบัติ 3. การทบทวน 4. การประเมินผล

ข้อเสนอแนะสำคัญในการเข้าสู่ตำแหน่งวิชาการ

  1. การขอตำแหน่งวิชาการ ควรระบุสาขา แต่สาขาอาจจะไม่สัมพันธ์กับวิชาเอกที่จบมาก็ได้
  2. คณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ ควรเสนอชื่อคนที่อยู่สาขาวิชา (Field) เดียวกัน และควรเลือกศาสตราจารย์ที่ตนเองรู้จัก
  3. คุณสมบัติเฉพาะของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ คือ เป็นอาจารย์ประจำของคณะนี้
  4. การเข้าสู่ตำแหน่งวิชาการวิธีปกติและวิธีพิเศษ จะต้องพิจารณาเรื่อง ผู้อ่าน (Reader) กับเกณฑ์การพิจารณากรณีพิเศษ ต้องมีผู้อ่าน (Reader) 5 คน เกณฑ์การผ่านคือ ระดับดีมาก ของกรรมการ 4 ใน 5
  5. กรณีปกติ ต้องมีผู้อ่าน (Reader) 3 คน เกณฑ์การผ่านคือ ระดับดี ของกรรมการ 2 ใน 3 ไม่ต้องเป็นเอกฉันท์
  6. การประเมินการสอน ผู้ประเมินคือ คณบดี หัวหน้าภาค บางองค์กรกำหนดให้ผู้อ่าน (Reader) เป็นผู้ประเมิน
  7. ผลงานวิชาที่เสนอขอตำแหน่งวิชาการ (ตัวอย่าง ระดับ ผศ.)                ผลงานวิจัย 1 เรื่อง และผลงานวิชาการในลักษณะอื่น 1 รายการ                ผลงานวิจัย 1 เรื่อง และตำราหนังสือ 1 เล่ม
  8.                 ผลงานวิจัย 1 เรื่อง และผลงานบริการรับใช้สังคม 1 รายการ
  9.                ผลงานวิจัย 2 เรื่อง
Categories: ทั่วไป, อบรม-สัมมนา | Leave a comment

แนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารจัดการโครงการวิจัย บริการวิชาการ และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ให้เป็นไปตามแผนงานและเสร็จตามกำหนดเวลา

  1. โครงการวิจัย บริการวิชาการ และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ต้องเริ่มดำเนินกิจกรรมตามแผนที่กำหนดไว้
  2. ในกรณีที่งบประมาณโครงการวิจัย บริการวิชาการ และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มาล่าช้า ให้หัวหน้าโครงการยืมเงินรายได้คณะดำเนินการไปก่อน ซึ่งสามารถยืมได้ร้อยละ 30 ของเงินงวดที่ได้รับ  เพื่อป้องกันการดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผน  โดยคณะได้กำหนดไว้เป็นแนวปฏิบัติการยืมเงินรายได้คณะสำหรับกรณีงบประมาณล่าช้า
  3. คณะมีการกำหนดเวลาในการติดตาม การแจ้งเตือน การรายงานความก้าวหน้า การส่งรายงานผลการดำเนินงาน เพื่อช่วยกระตุ้นให้หัวหน้าโครงการ เร่งดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงาน  โดยกำหนดเป็นปฏิทินการติดตามการดำเนินงานโครงการ บริการวิชาการ และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
Categories: วิจัย | Leave a comment

สรุปแนวปฏิบัติที่ดีในการเขียนข้อเสนอโครงการ การรายงานผลการดำเนินโครงการ และการวัดผลการดำเนินโครงการเงินงบประมาณรายได้คณะบริหารศาสตร์

ประเด็นแนวปฏิบัติที่ดีการเขียนข้อเสนอโครงการ

1) หลักการและเหตุผล
กล่าวถึงปัญหาและสาเหตุและความจำเป็นที่ต้องมีการจัดทำโครงการ หาเหตุผล หลักการ ทฤษฎี แนวทางนโยบายของสถาบัน/รัฐบาล ตลอดจนความต้องการในการพัฒนาในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นความสำคัญของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ควรมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลด้วยเพื่อที่ผู้อนุมัติโครงการจะได้ตัดสินใจสนับสนุนโครงการต่อไป
2) วัตถุประสงค์
– เป็นการระบุถึงเจตจำนงในการดำเนินงานของโครงการ
– ต้องสามารถวัดและประเมินผลได้ เช่น เพื่อกล่าวถึง เพื่ออธิบาย เพื่อพรรณนาถึง เพื่อจำแนกแยกแยะ เพื่อสร้างเสริม เพื่อกำหนดรูปแบบ เพื่อแก้ปัญหา เป็นต้น
3) ตัวชี้วัดโครงการ
กำหนดเกณฑ์มาตรฐานของความสำเร็จที่วัดตามวัตถุประสงค์โครงการ วัดในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ พร้อมระบุถึงผลลัพธ์สุดท้ายที่คาดว่าจะได้จากการดำเนินโครงการ โดยจะระบุทั้งผลที่เป็นเชิงปริมาณและผลเชิงคุณภาพ
3.1) ตัวชี้วัดวัตถุประสงค์โครงการ ประเมินตามวัตถุประสงค์ของ
โครงการ
3.2) ตัวชี้วัดเชิงปริมาณ เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ, จำนวน
ผลงานทางวิชาการ
3.3) ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ เช่น ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วม
โครงการ, ร้อยละผู้เข้าร่วมโครงการผ่านเกณฑ์ (Pre-
test/Post-test)
3.4) ตัวชี้วัดค่าใช้จ่าย ไม่เกินวงเงินอนุมัติ

4. ระยะเวลาดำเนินโครงการและระยะเวลาในการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินโครงการ
ระบุระยะเวลาเริ่มต้นโครงการ และระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ ไม่เกิน 30 วัน นับจากวันสุดท้ายของการดำเนินกิจกรรมในโครงการ

5. แผนปฏิบัติงาน หรือปฏิทินโครงการ
เป็นตารางที่แสดงให้เห็นว่าผู้ดำเนินโครงการวางแผนลงมือทำกิจกรรมในช่วงดำเนินโครงการ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบโครงการว่าแต่ละกิจกรรมจะเกิดขึ้นเมื่อไร โดยเรียงลำดับตามช่วงเวลา หรือ กระบวนการ PDCA

6. งบประมาณรายจ่าย
ตามระเบียบการเงินคณะบริหารศาสตร์

7. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ระบุว่าใครจะได้รับผลประโยชน์และผลกระทบหรือมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องอะไร ทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ และต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์

ประเด็นแนวปฏิบัติที่ดีการเขียนรายงานผลการดำเนินโครงการ 1 ส่งเอกสารเบิกจ่ายโครงการและรายงานผลการดำเนินโครงการ ภายใน 30 วัน นับจากวันสุดท้ายของการจัดกิจกรรม
2 ) การเขียนคำนำ
(ย่อหน้าแรก) ให้เขียนสรุปชื่อโครงการ….วัตถุประสงค์โครงการ…เป้าหมายโครงการ….หน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบ…. (ดูจากโครงการ)
(ย่อหน้าที่สอง) ให้เขียนสรุปว่าได้ดำเนินการโครงการนี้ ที่ไหน / เมื่อไหร่ / มีขั้นตอนดำเนินการที่สำคัญอย่างไร / ได้ผลทั้งด้านปริมาณเท่าไหร่ และหรือมีคุณภาพของผลงานอย่างไร ผลการดำเนินการโครงการสรุปได้ดังนี้ …
(ย่อหน้าสุดท้าย) สรุปผลการประเมินตามวัตถุของการประเมินโครงการว่าบรรลุหรือไม่อย่างไร(ประสิทธิผลของโครงการ) รวมทั้งความพึงพอใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยสรุปเป็นภาพรวมและบอกเพียงค่าเฉลี่ยหรือร้อยละและเขียนปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการดำเนินงานโครงการต่อไป

การวัดผลการดำเนินโครงการ
1) การประเมินผลโครงการ ควรวัดความสำเร็จของโครงการตามวัตถุประสงค์โครงการได้ (นำวัตถุประสงค์โครงการมาปรับเป็นคำถามในแบบประเมินโครงการ)
2) วิธีการประเมินโครงการ ใช้วิธีสำรวจการคิดเห็นต่อการดำเนินโครงการ โดยใช้แบบประเมินโครงการ หรือการสอบถามด้วยคำถามปลายเปิดเพื่อให้แสดงความคิดเห็น
3) แบบประเมินควรกำหนดให้สอดคล้องกับการนำไปใช้ในการประกันคุณภาพการศึกษา
4) ผู้รับผิดชอบโครงการควรมีข้อเสนอแนะในการปรับปรุง/พัฒนา การดำเนินโครงการในครั้งต่อไป

Categories: ทั่วไป | Leave a comment

แนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารหลักสูตรเพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร พ.ศ. 2558 คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

1. แนวปฏิบัติที่ดีการจัดการข้อร้องเรียนของนักศึกษา 1.
1.1 ประชาสัมพันธ์เรื่องช่องทางการร้องเรียน ประกอบด้วย
1.1.1 การยื่นคำร้องทั่วไปด้วยตนเองที่งานวิชาการ คณะ
บริหารศาสตร์ (กรณีขอตรวจสอบผลการเรียน ภายใน
30 วัน นับจากวันประกาศผลการเรียน)
1.1.2 กล่องรับความคิดเห็น ที่ติดตั้งบริเวณชั้น 1 คณะบริหาร
ศาสตร์
1.1.3 สายด่วนคณบดี
1.2 จัดทำสายด่วนถึงคณบดีในเวบไซด์คณะ โดยผู้รับผิดชอบ (หัวหน้าสำนักงานเลขานุการ) รายงานปัญหาต่อคณบดี ประสานผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขข้อร้องเรียน และรายงานผลการแก้ไขข้อร้องเรียนเสนอต่อคณบดี ประชุมคณะกรรมการวิชาการฯ คณะกรรมการประจำคณะ

2. ระบบอาจารย์ที่ปรึกษา : จัดทำคู่มือการให้คำปรึกษาแก่นักศึกษา

3. การทวนสอบทางการเรียนของนักศึกษา
3.1 หลักสูตรเชิญผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกเป็นกรรมการทวนสอบ
ผลสัมฤทธิ์ประจำภาคการศึกษา
3.2 งานวิชาการ ขออนุมัติงบประมาณในการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิฯ
เป็นกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ประจำภาคการศึกษา

4. ผลประเมินการจัดการเรียนการสอน
ให้คณะกรรมการบริหารหลักสูตรพิจารณานำข้อเสนอแนะ/ข้อร้องเรียนของนักศึกษา จากผลประเมินรายวิชา โดยเฉพาะประเด็นที่นักศึกษากล่าวถึงซ้ำๆ นำไปปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอน นำเสนอแนวทางแก้ไข และผลการแก้ไขต่อที่ประชุมคณะกรรมการวิชาการฯ

5. การส่งเสริมและพัฒนานักศึกษา
5.1 ส่งเสริมให้นักศึกษามีพฤติกรรมที่เหมาะสม
5.1.1 ส่งเสริมให้นักศึกษาแต่งกายถูกระเบียบในการเข้าเรียน
การเข้าสอบ และการติดต่อราชการ
5.1.2 ส่งเสริมให้นักศึกษาประพฤติตัวให้ถูกกาลเทศะ
5.1.3 ส่งเสริมให้นักศึกษามีความตรงต่อเวลา

5.2 พัฒนานักศึกษาให้มีทักษะที่จำเป็นต่อการฝึกงาน/การ
ประกอบอาชีพ
5.2.1 อบรมการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์
5.2.2 อบรมภาษาอังกฤษ/การให้ความรู้เพื่อแก่นักศึกษา
เพื่อสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษ
5.2.3 การพัฒนาบุคลิกภาพ

6. สร้างมวลวิกฤติของบัณฑิตที่มีคุณภาพ มีการติดตามความก้าวหน้าของบัณฑิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาประชาสัมพันธ์หลักสูตรและนำมาสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักศึกษาปัจจุบัน

7. การสอนชดเชย : อาจารย์ประจำวิชาต้องสแกนลายนิ้วมือเพื่อลงเวลาในวันที่กำหนดให้มีการสอนชดเชย

8. ผลงานทางวิชาการของอาจารย์ประจำคณะบริหารศาสตร์ กำหนดให้อาจารย์ต้องทำผลงานทางวิชาการ โดย
8.1 อาจารย์ที่ไม่มีตำแหน่งทางวิชาการ ต้องทำผลงานอย่างน้อย 1 ชิ้นในรอบ 5 ปีงบประมาณ
8.2 ผศ. ต้องทำผลงานอย่างน้อย 1 ชิ้น ในรอบปีงบประมาณ
8.3 รศ. ต้องทำผลงานอย่างน้อย 2 ชิ้น ในรอบปีงบประมาณ
ทั้งนี้ หากไม่ทำตามแนวปฏิบัติที่กำหนด จะไม่มีสิทธิ์ได้รับผลประเมินในระดับดีเด่น แม้ว่าคะแนนประเมินจะถึง 90 แล้วก็ตาม (เสนอขอหารือในที่ประชุมคณะกรรมการประจำคณะฯ)

Categories: ทั่วไป | Leave a comment

มองอินเดียใหม่ ความท้าทายและโอกาสที่คาดไม่ถึง

โดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

ชาวไทยหรือแม้แต่นักธุรกิจชาวไทยมีภาพจำว่าอินเดียเป็นประเทศที่ยากจน และ สาธารณูปโภคไม่ดี ไม่ได้รับการพัฒนาให้เท่าเทียมกับโลกภายนอก ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอินเดียไม่มีกำลังซื้อสินค้าของบริษัทที่จะเข้าไปทำธุรกิจในอินเดีย จึงทำให้นักธุรกิจชาวไทยเสียโอกาสอย่างสูง ทั้งนี้มูลค่าการค้าระหว่างไทย และ อินเดีย มีเพียง 8 พันกว่าล้านบาทต่อปีเท่านั้น วิทยากรได้ชี้ให้เห็นว่าประชากรอินเดียกว่าพันล้านคนแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ฐานะทางเศรษฐกิจต่างกันสูงมาก ประชากรในแต่ละภูมิภาคมีเชื้อฃาติ ภาษาที่ใช้แตกต่างกันกว่า 100 เชื้อชาติและภาษา บริบททั่วไปคล้ายกับทุกประเทศคือมีทั้งยากจน ปานกลาง และร่ำรวย ประการสำคัญกลุ่มที่มีฐานะปานกลางในปัจจุบันมีความต้องการบริโภคสินค้าที่มีการนำเข้า หรือผลิตโดยบริษัทต่างชาติที่เข้ามาตั้งโรงงานในอินเดียเป็นอย่างมาก ส่วนประชากรที่มีฐานะร่ำรวยนั้นมีจำนวนมากพอสมควร และ มีทรัพย์สินมากกว่ามหาเศรษฐีในประเทศไทยด้วยซ้ำ
โดยโอกาสทางเศรษฐกิจของไทยที่มีความต้องการจากชาวอินเดียมีสูงมาก เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวชาวอินเดียนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความต้องการสินค้าจากประเทศไทย เช่น เครื่องใช้ในครัวเรือน ตัวอย่างจากบริษัทศรีไทยซุปเปอร์แวร์ เข้าไปตั้งโรงงานผลิตเครื่องใช้ในครัวเรือนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียเพื่อจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์เครื่องใช้ จาน ชาม ช้อน กระปุกถนอมอาหาร โดยใช้กลยุทธ์การขายตรง สู่ผู้บริโภค พนักงานขายเป็นแม่บ้านชาวอินเดียเป็นตัวแทนขายตรง ราคาสินค้าถือเป็นราคาระดับพรีเมี่ยม ผู้บริโภคมีความต้องการสูงมาก ถึงกับว่าเป็นเครื่องใช้ที่แสดงถึงฐานะทางสังคมที่ดี และ มีไว้ต้อนรับแขกที่มาเยี่ยม จะเป็นการให้เกียรติอย่างสูงต่อผู้มาเยี่ยมอย่างสูง ในการบรรยายยังได้เชิญผู้ประกอบการไทยที่ไปดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นๆในอินเดีย และ นักวิชาการ นักวิจัย ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประเทศอินเดียมาให้มุมมองที่แตกต่างไปจากที่ชาวไทยมีภาพจำอยู่เสมอ
โอกาสด้านสินค้าเกษตร เช่น ดอกกล้วยไม้ไทย ถือเป็นดอกไม้ที่แสดงถึงฐานะความร่ำรวยของชาวอินเดีย หากจะจัดงานแต่งงาน หรือจัดงานพิธีการต่างๆต้องใช้ดอกกล้วยไม้จากประเทศไทยเท่านั้นจึงจะแสดงถึงฐานะทางสังคมชั้นสูง หากใช้ดอกไม้อื่นๆ หรือดอกกล้วยไม้จากที่อื่นถือว่าไม่ร่ำรวย เป็นต้น ผลไม้ต่างๆที่ส่งจากประเทศไทยไปยังอินเดียก็ได้รับความนิยมเช่นกัน รองอธิบดีกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้นักธุรกิจชาวไทยที่ประกอบธุรกิจน้ำผลไม้บรรจุขวด หรือ กล่องUHT เข้าไปลงทุนในอินเดียเนื่องจากอินเดียก็มีผลไม้หลากหลายเช่นไทย แต่ยังไม่มีการแปรรูปใดๆเลย ทั้งที่รสชาติดีเทียบเท่ากับผลไม้ไทย โดยส่วนมากผลไม้แปรรูปทุกชนิด รวมถึงน้ำผลไม้จะมีการนำเข้าจากทั้งประเทศไทยและนานาชาติ ท่านรองอธบดีจึงอยากเสนอให้นักธุรกิจไทยลองมองโอกาสนี้ไปตั้งโรงงานแปรรูปผลไม้เช่น โรงงานผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้ดอง และ น้ำผลไม้จะสามารถทำตลาดได้ดีเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคของอินเดียจะนิยมของขบเคี้ยวแบบคนไทย
ธุรกิจเกี่ยวกับผ้าไหม ชาวอินเดียวนิยมนำผ้าไหมจากไทยไปตัดเย็บส่าหรี และชุดในงานพิธีมงคลต่างๆ รวมถึงผ้าย้อมครามต่างๆ ในอินเดียก็มีวัฒนธรรมผ้าแบบเดียวกับคนไทยจึงถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เป็นโอกาสที่นักธุรกิจไทยควรจะศึกษาหาช่องทางเข้าไปลงทุนในอินเดีย ซึ่งนักออกแบบไทยสามารถออกแบบลวดลายให้ตรงกับความต้องการของผู้บรโภคชาวอินเดียได้อย่างดีอยู่แล้ว
ธุรกิจยาและเคมีภัณฑ์ในอินเดีย ถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งมาก โดยอินเดียมีโรงงานยาที่ได้มาตรฐานโลกอยู่จำนวนมาก และ มีต้นทุนในการผลิตถูกมาก ในปัจจุบันบริษัทยาชั้นนำของโลกจากยุโรป และ อเมริกาเข้ามาตั้งโรงงานผลิตยาเพื่อส่งขายใน ยุโรป อเมริกา และทั่วโลกจำนวนมาก ยาที่ผลิตจากอินเดียมีคุณภาพสูงเทียบเท่าหรือสูงกว่าโลกตะวันตกเลยทีเดียว
อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ และ software จากอินเดียก็ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพสูงที่สุดในโลก และมีต้นทุนในการผลิตต่ำมาก
ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ ผู้บรรยาย ให้ข้อคิดว่าเราควรจะมองอินเดียใหม่ เพราะอินเดียไม่ใช่แหล่งงผลิตของดีราคาถูกแต่เพียงอย่างเดียวเช่นในอดีตอีกแล้ว หากแต่กำลังซื้อและ ความต้องการบริโภคสินค้าคุณภาพดีจากทั่วโลกยังมีอีกสูงจากผู้บริโภคในอินเดีย ผู้บรรยายให้แนวคิดว่าหากเราสามาถเข้าถึงผู้บริโภคเพียง 20%ของผู้บริโภคทั้งหมดในอินเดีย ยอดขาย/รายได้จะสูงกว่าที่เราทำธุรกิจในประเทศไทยด้วยซ้ำ จึงอยากจะให้ชาวไทยเรา “มองอินเดียใหม่ แล้วเราจะพบกับความท้าทายและโอกาสที่คาดไม่ถึง” เลยทีเดียว

บันทึกโดย สุมาลี เงยวิจิตร

Categories: ทั่วไป | Leave a comment

ถนนสายศาสตราจารย์ บนกลีบกุหลาบ

ศ.ดร.เฉลิมชนม์ สถิระพจน์

แนวทางการขอตำแหน่งวิชาการ มุ่งหน้าทำวิจัยและตั้งเป้าหมายชัดเจน โดยมีวิธีการมองเป้าหมายว่า จะต้องมีขอตำแหน่งให้ทันตามแผน เพื่อป้องกันการพลาดจากการยื่นขออันเนื่องมาจากการเปลี่ยนเกณฑ์การยื่น ต้องมีการก้าวเดินให้ไวและเป็นไปตามแผน วิธีการยื่นขอตำแหน่งทางวิชาการมีสองวิธีคือ วิธีแรกเป็นวิธีปรกติ โดยการยื่นตำราและผลงานวิจัย ส่วนวิธีที่สองเป็นวิธีพิเศษ โดยการยื่นตำราอย่างเดียวหรืองานวิจัยอย่างเดียว ปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จในการยื่นขอตำแหน่งวิชาการคือ ประการแรกคือ ใจ จะต้องปรับทัศนคติ โดยจะต้องเชื่อว่าเราทำได้ เราจะทำได้ ประการที่สอง คือ กระบวนการ เป้าหมายต้องชัดเจนและมีวิธีการมารองรับเป้าหมาย ประการที่สามคือ ความอดทน การปีนขึ้นสู่ที่สูง มีความยาก และเหนื่อยมาก จะต้องอดทนและต้องมี ความรักในสิ่งที่ทำ มีแรงบันดาลใจที่สร้างด้วยตัวเอง

Categories: วิจัย, วิชาการ | Leave a comment

หลักสถิติเพื่องานวิจัยสมัยใหม่และเทคนิคการใช้สถิติกับงานวิจัย

ผศ.ดร.อนุภาพ สมบูรณ์สวัสดี

งานวิจัยสมัยใหม่ควรจะเป็นงานวิจัยที่เป็นทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เนื่องจากงานวิจัยเชิงปริมาณจะให้ผลวิจัยที่เชื่อถือได้จากกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูลและวิธีการวัดที่มีการวิเคราะห์แบบเป็นระบบ และการวิจัยเชิงคุณภาพจะให้ผลวิจัยที่ให้เนื้อหาและการนำเสนอที่มีความหมายและเหตุผล สถิติจึงมีบทบาทในงานวิจัยในการเป็นเครื่องมือในการสรุปข้อมูลที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างด้วยความเชื่อมั่น องค์ประกอบที่สำคัญของงานวิจัยได้แก่ คำถามวิจัย ประชากร และข้อมูลหรือตัวแปร โดยการที่จะทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้คำตอบแก่โจทย์วิจัยอย่างเป็นระบบต้องอาศัยเทคนิคสถิติ ดังนั้น ในการทำวิจัยที่ดีจึงต้องมีการเก็บกลุ่มตัวอย่างที่ดี เลือกใช้ข้อมูลให้เหมาะสมกับสถิติที่จะใช้วิเคราะห์ข้อมูล

Categories: วิจัย | Leave a comment